อินเดีย ประกาศ เปลี่ยนชื่อแก้วมังกร เพื่อเป็นการตอบโต้ประเทศจีน หลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองชาติยังคงตึงเครียดต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 20 มกราคม สำนักข่าว BBC รายงานว่า รัฐบาลในรัฐคุชราต ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อผลไม้ แก้วมังกร เป็น คามาลัม ซึ่งมีความหมายว่า ดอกบัว ในภาษาสันสกฤต เนื่องจากในชื่อผลไม้มีคำว่า มังกร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีน
โดยการเปลี่ยนชื่อครั้งนี้เป็นการโต้ตอบประเทศจีน
หลังจากที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติถือว่าแย่ลงเป็นอย่างมาก หลังเหตุปะทะกันของทั้งสองชาติที่ชายแดนแคชเมียร์ จนเป็นเหตุให้มีทหารอินเดียเสียชีวิตอย่างน้อย 20 ศพ เมื่อช่วงเดือนมิถุนายน ปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุความรุนแรงครั้งนั้นถือว่าเป็นเหตุการปะทะกันครั้งแรกในรอบเกือบ 50 ปี
อย่างไรก็ตาม แก้วมังกร นั้นไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน แต่เป็นผลไม้ในทวีปอเมริกากลาง ซึ่งหลายคนได้เปรียบเทียบว่าเปลือกของผลไม้เหมือนเกร็ดมังกร จึงตั้งชื่อว่าแก้วมังกร ด้านประชาชนชาวอินเดียได้ออกมาทำมีมส์ (meme) และภาพล้อเลียนต่างเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้
ตลาดหุ้น สหรัฐ ‘ดาวโจนส์’ ได้มีการเพิ่มขึ้นมา 257 จุด โดยเป็นผลตอบรับจากการเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐ และการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
การเพิ่มขึ้นของ ตลาดหุ้น สหรัฐ ‘ดาวโจนส์’ ได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไป 257.86 จุด (0.83%) โดยทำการปิดตัวที่ระดับ 31,188.38 จุด ซึ่งถือว่าเป็นการที่ตลาดนั้นมองถึงความคาดหวังที่ดีขึ้นภายหลังจากที่นาย โจ ไบเดน ได้ทำการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการภายในวันนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการประกาศถึงแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์
ในส่วนของดัชนีอื่น ๆ ในตลาดนั้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางบวกเช่นเดียวกันดังนี้
ดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500) ได้เพิ่มขึ้นมา 52.94 จุด (1.39%) ปิดตัวที่ระดับ 3,851.85 จุด
ดัชนีแนสแด็ก (Nasdaq) ได้เพิ่มขึ้นมา 260.07 จุด (1.97%) ปิดตัวที่ระดับ 13,457.25 จุด
นอกจากนี้แล้วก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นดัวกล่าวไม่ว่าจะเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ของเจเน็ต เยลเลน ว่าที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ที่ออกมาประกาศถึงการเตรียมพร้อมในการดำเนินการครั้งใหญ่เพื่อปกป้องเศรษฐกิจ และแสดงความกังวลเกี่ยวกับตัวเลขหนี้
และการเปิดเผยผลประกอบการล่าสุดของบริษัทที่จดทะเบียนไม่ว่าจะเป็น
มอร์แกน สแตนลีย์ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรและรายได้ในไตรมาส 4/2563 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ อยู่ที่ระดับ 1.81 ดอลลาร์/หุ้น และมีรายได้รวมอยู่ที่ 1.364 หมื่นล้านดอลลาร์
เน็ตฟลิกซ์ เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรที่ระดับ 1.19 ดอลลาร์/หุ้น และมีรายได้โดยรวมอยู่ที่ 6.64 พันล้านดอลลาร์ รวมไปถึงจำนวนผู้ใช้บริการทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 8.5 ล้านราย
ทำงานเลย! ไบเดน ยกเลิกคำสั่งทรัมป์
โจ ไบเดน เริ่มทำงานเลย โดยนายไบเดนได้ลงนาม เพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 พร้อม ยกเลิกคำสั่งทรัมป์ เมื่อวันที่ 21 มกราคม สำนักข่าว BBC รายงานว่า นาย โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เพิ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่งได้เริ่มทำงานทันที โดยนายไบเดนได้ลงนามอนุมัติใช้ 15 คำสั่งทันที ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคำสั่งที่เพิ่มประสิทธิภาพของรัฐบาลในการรับมือกับโรคโควิด-19
โดยนายไบเดน ตั้งเป้าว่าประชาชนกว่า 100 ล้านคนจะได้เข้ารับการฉีดวัคซีนในช่วง 100 วันแรกที่เขาเข้าดำรงตำแหน่ง ซึ่งนอกจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แล้ว นาย ไบเดน ยังได้ประกาศว่าเขาจะเร่งหาทางรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อม
ขณะที่อีกส่วนเป็นการลงนามยกเลิกคำสั่งของนาย ทรัมป์ เช่น ระงับทุนสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก เลิกคำสั่งห้ามพลเมืองชาติมุสลิมเข้าประเทศ ลงนามยกเลิกคำสั่งถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสลดโลกร้อนแล้วกลับเข้าไปอีกครั้ง ซึ่งผู้นำสหรัฐฯคนปัจจุบันกล่าวว่า เขาจะช่วยแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลของนาย ทรัมป์ ขณะที่ผลักดันประเทศไปข้างหน้า
องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ออกมาแสดงความมั่นใจว่า ประชาชนทั่วโลกจะได้รับ วัคซีนโควิด แน่นอน ขอประชาชนอย่ากังวล เมื่อวันที่ 21 มกราคม สำนักข่าว ชาแนลนิวส์เอเชีย รายงานว่า องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้ออกมากล่าวว่า ประชาชนที่ต้องการเข้ารับวัคซีนโควิดจะได้รับวัคซีนอย่างแน่นอน และขอให้อย่ากังวลไปว่าวัคซีนจะไม่เพียงพอ
ทางองค์การอนามัยโลกยังได้กล่าวอีกว่า พวกเขากำลังทำงานอย่างแน่นอน เพื่อให้มั่นใจว่าวัคซีนจะถึงมือประชาชนทุกชั้นจากทุกประเทศ
ขณะนี้มีราวๆ 50 ประเทศที่เริ่มการฉีดวัคซีนแล้ว โดยมากกว่า 40 ประเทศ เป็นประเทศที่ถูกจัดว่ามีรายได้สูง ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกได้จัดตั้งแคมเปญ COVAX เพื่อให้ความช่วยเหลือกับประเทศที่ยากไร้ให้สามารถเข้าถึงวัคซีนได้
คาดว่าประเทศในกลุ่มดังกล่าวจะได้เริ่มฉีดวัคซีนในช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ โดยทางองค์การอนามัยโลกตั้งเป้าว่าในช่วงสิ้นปี ประชาชนในกลุ่มประเทศดังกล่าวราวๆร้อยละ 20 จะได้รับวัคซีนต้านโควิด-19
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป