นายกฯ เคาะ จัดตั้ง กองทุนพัฒนาอุดมศึกษา และนโยบายเรียนข้ามสถาบัน

นายกฯ เคาะ จัดตั้ง กองทุนพัฒนาอุดมศึกษา และนโยบายเรียนข้ามสถาบัน

นายกฯ โพสต์แจ้งปฏิรูประบบศึกษาไทย ก่อตั้ง “กองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษา” เพื่อผลิตคนคุณภาพสู่สังคม เเละนโยบายเรียนข้ามสถาบัน ภายใต้กรอบแนวคิด “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” วันนี้ 15 ม.ค. 65 นายกรัฐมนตรี โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ค “ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha” เรื่องการปฏิรูประบบการศึกษาไทย โดยมี 2 ประเด็นสำคัญ คือการก่อตั้ง “กองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษา” เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่กว้างขวาง และผลิตคนที่มีคุณภาพออกสู่สังคม นโยบายเรียนข้ามสถาบัน เพื่ออุดมศึกษาหลายแห่งสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อทุกๆคนสามารถเข้าถึงความรู้ที่หลากหลาย ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยโพสต์ระบุรายละเอียดว่า

“พี่น้องประชาชนที่รักครับ

ผมขอเรียนแจ้งความคืบหน้าที่สำคัญ 2 ประการ ในการปฏิรูปการศึกษาของไทย ซึ่งเริ่มผลิดอกออกผลและมีผลในการปฏิบัติแล้ว ดังนี้

1. การก่อตั้ง “กองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษา” โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้จัดตั้งกองทุนใหม่นี้ขึ้น เพื่อให้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนสถาบันอุดมศึกษาอย่างเป็นระบบ สามารถผลิตกำลังคนของประเทศที่มีคุณภาพ รองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน (Disruptive change) ของโลกอนาคตได้

รวมทั้งมุ่งส่งเสริมแนวทางการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่จะต้องตอบสนองความต้องการของคนทุกช่วงวัย ให้สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูล/องค์ความรู้ตามความต้องการของผู้เรียน นับเป็นการเดินหน้า “พลิกโฉมแบบก้าวกระโดด” สำหรับการอุดมศึกษา โดยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยองค์ความรู้ที่ทันสมัย

2. การเปิดลงทะเบียนเรียนข้ามสถาบัน เป็นการปลดล็อคด้านการศึกษาครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับอธิการบดีมหาวิทยาลัยของรัฐและมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ 25 สถาบัน

ในการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) การลงทะเบียนเรียนข้ามสถาบันได้ นับเป็นการแปลงนโยบายรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติได้จริง และมีผลในทางปฏิบัติได้ทันที โดยประโยชน์ที่จะได้รับ จะเกิดขึ้นในทุกระดับ ผู้เรียนจะสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้และประสบการณ์ได้จากต่างสถาบัน ตามรายวิชาที่ตนสนใจ

ส่วนสถาบันการศึกษาจะสามารถบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูล องค์ความรู้ ที่เป็นของดี หรือความเป็นเลิศจากสถาบันอื่น ที่แตกต่างกัน กระทรวง อว. จะมีการปฏิรูประบบคลังหน่วยกิตและการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศในก้าวต่อไป

ความสำเร็จดังกล่าวเป็นก้าวย่างสำคัญ ที่กำลังจะส่งผลดีอย่างยิ่งในวันข้างหน้า ต่อเนื่องจากกลไกอื่นๆ ที่รัฐบาลได้สร้างขึ้น ทั้งการตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ที่มีภารกิจสำคัญในการสร้างคน สร้างองค์ความรู้ และสร้างนวัตกรรม

รวมทั้งการตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่คอยโอบอุ้มไม่ให้ลูกหลานไทยคนใดต้องหลุดจากระบบการศึกษา

ทุกคนเข้าถึงโอกาสในการพัฒนาตนเองด้วยความเสมอภาคกัน โดย #ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะการศึกษาจะเป็นบันไดในการก้าวไปข้างหน้าสู่สิ่งที่ดีกว่าของทุกๆ คน การปฏิรูปการศึกษา เป็นภารกิจอันใหญ่หลวงของประเทศ ที่ผมให้ความสำคัญอย่างยิ่งและติดตามความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ ที่ได้สั่งการไว้เสมอมา

ภารกิจที่ไม่สามารถสำเร็จได้โดยง่าย หรือรวดเร็วดังใจ แต่ก็ต้องวางรากฐานและปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นปัจจัยโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในอนาคต ซึ่งจากรากฐานที่ดี

ศักยภาพของเยาวชนไทยในทุกๆ ด้าน ทำให้เราได้เห็นเยาวชนคนเก่งจำนวนมากที่ขึ้นมาสร้างผลงานอันน่าภาคภูมิใจ ทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติ และผมเชื่อมั่นว่าเรากำลังจะได้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และท้าทาย นั่นคือการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” ให้สำเร็จตามยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดไว้ให้ได้ครับ”

หมอยง ภู่วรวรรณ ฟันธง ผลงานวิจัย ชี้ ฉีดวัคซีนเชื้อตาย 2 เข็ม และฉีดเข็มที่ 3 ด้วยวัคซีน mRNA ภูมิคุ้มกันขึ้นสูงมาก วันนี้ 15 ม.ค. 65 หมอยง ภู่วรวรรณ หมอชื่อดัง ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬามหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟสบุ๊ก “Yong Poovorawan” ถึงผลงานวิจัยการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แบบเชื้อตาย 2 เข็ม และ กระตุ้นด้วย เข็ม 3 เป็นแบบ mRNA

พบว่า ภูมิคุ้มกันสามารถสูงขึ้นได้ถึง 200 เท่า ซึ่งผลงานวิจัยดังกล่าวถูกตีพิมพ์ทั้งในจีนและยุโรป รวมถึงย้ำว่า น่าจะขัดขวาง โอมิครอน ได้อีกด้วย โดยรายละเอียดในโพสต์ระบุว่า

“โควิด-19 วัคซีน การกระตุ้นเข็ม 3 ด้วยวัคซีนชนิดต่างๆ หลังให้เชื้อตายครบ 2 เข็ม

ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต 15 มกราคม พ.ศ. 2565 ข้อมูลการศึกษาวิจัยของศูนย์ เห็นได้ชัดเจนและได้รับการลงพิมพ์ในวารสารแล้ว

การให้วัคซีนเชื้อตายครบ 2 เข็ม เป็นการปูพื้นที่ดีมาก เพื่อการกระตุ้นเข็ม 3 ด้วยวัคซีน Virus Vector (AZ) หรือ mRNA (PZ) เราจะเห็นว่าการกระตุ้นภูมิต้านทานขึ้นได้สูงมาก ขึ้นสูงถึง 2 log scale หรือประมาณ 100 เท่า